วันศุกร์ที่ 14 ก.ย. งานเสวนา ‘คนไทยเป็นใคร มาจากไหน
ในแผนที่ประวัติศาสตร์ (สยาม) ประเทศไทย’ ถูกจัดขึ้นโดยสำนักคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
(สวช.) ร่วมกับ คณะโบราณคดี และสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร
เพื่อสร้างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความเข้าใจในเรื่องของประวัติศาสตร์
สังคมและวัฒนธรรมของคนไทยตั้งแต่สมัยอดีตกาล และคล้ายกับเป็นการเปิดตัวหนังสือ
ผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรม เป็นบรรณาธิการ ที่จะนำไปให้สำนักงาน หน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการเผยแพร่เป็นความรู้สาธารณะต่อไป
หนังสือเล่มนี้เป็นการมองประวัติศาสตร์ประเทศไทยโดยอธิบายผ่าน ‘แผนที่’ แบบรื้อ‘มุมมองเก่า’ ที่เคยถ่ายทอดความทรงจำ ‘ความเป็นไทย’ ชุดดั้งเดิมผ่าน ‘แผนที่’ ของนายทองใบ แตงน้อย ที่แทบไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาก่อน
หลังจากที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเริ่มต้นปูทางสร้าง ‘ประวัติศาสตร์ไทย’ เป็นต้นมาแม้ว่า สุจิตต์
วงษ์เทศ จะเคยกล่าวเอาไว้ว่า ‘อย่าเพิ่งเชื่อ’ ทุกอย่างที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้
แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังสือเล่มนี้ได้สร้างเป็นกรอบ
โครงสร้างหรือเป็นอีกหลักไมล์หนึ่งทางการศึกษาประวัติศาสตร์ (สยาม) ประเทศไทย
ที่ท้าทายให้วงการวิชาการต้องหันกลับมาศึกษาเรื่องนี้กันใหม่อย่างละเอียดมากๆ
อีกครั้ง
ขอเกริ่นเบื้องต้นก่อนเข้าสู่เนื้อหาในการอภิปรายว่า
ภาพรวมของ หนังสือ ‘แผนที่ประวัติศาสตร์ (สยาม) ประเทศไทย’ แบ่งเนื้อหาออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ
คือ
ส่วนแรก มองภาพรวมของสุวรรณภูมิโดยเฉพาะประเทศไทย
แยกออกเป็น 11 บท ในแต่ละบทจะประกอบไปด้วยเรื่องราวตั้งแต่สมัย 5,000 ปีก่อน
เรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2400 ซึ่งเป็นยุคปัจจุบัน เนื้อความในแต่บทจะเล่าเรื่องราวและพัฒนาของคนไทยตั้งแต่เริ่มมีชุมชน
จนไปถึงการเป็นรัฐประชาชาติประชาธิปไตย จนได้ชื่อว่าเป็นประเทศไทย
ส่วนที่สอง บอกเล่าเรื่องราวของ 4 ภาคของไทย คือ ภาคเหนือ
(โยนก-ล้านนา) ภาคกลาง (ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา) ภาคใต้ (คาบสมุทรแหลมทอง)
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ลุ่มแม่น้ำโขง-ชี-มูล) จะเห็นพัฒนาการของแต่ละภาคในเรื่องของสังคม และวัฒนธรรม
และให้ความสำคัญกับบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของแต่ละภาค
ทำให้เห็นพัฒนาการที่ไม่เท่าเทียมกันของแต่ภาคอย่างชัดเจน
ส่วนที่สาม เป็นการเปรียบเทียบวัฒนธรรมต่างๆ
ในโลกรวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยต่างๆ ดังนั้น
หากมองในภาพรวมของหนังสือเล่มนี้แล้ว
นอกจากจะเดินไปบนเส้นทางของการทำความรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้นแล้วยังรับรู้ไปถึงเรื่องราวและวัฒนธรรมของโลกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ
อีกด้วย
งานเสวนาในครั้งนี้ยังมีส่วนของการวิพากษ์ทั้งตัวหนังสือเองและอภิปรายต่อไปถึงคำถามสุดคลาสสิกเรื่อง ‘คนไทยมาจากไหน’ คนไทยมาจากเทือกเขาอันไตหรือว่าอยู่ที่นี่มานานแล้ว ซึ่งมีวิทยากรอย่าง
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.สุรพล นาถะพินธุ คณบดีคณะโบราณคดี
มหาวิทยาลัยศิลปากร อ.สถาพร ศรีสัจจัง (พนม นันทพฤกษ์)
ศิลปินแห่งชาติ และผู้อำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา รศ.สายชล สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ รศ.ดร.ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ สาขาประวัติศาสตร์และโบราณคดี
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาร่วมแลกเปลี่ยนอภิปราย
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เริ่มต้นกล่าวเกี่ยวกับเรื่องคนไทยเป็นใคร
มาจากไหน ว่า
ถ้ามีใครสักคนถามคำถามนี้ ซึ่งคงจะมีสติไม่ค่อยดีที่ถาม
คนส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า “ไม่รู้สิ เป็นใครมาจากไหน” แต่ถ้าถามนักเรียน
นิสิต นักศึกษา ซึ่งมีคะแนนกำกับอยู่ จะตอบว่า
“คนไทย คือ คนที่พูดภาษาไทย นับถือศาสนาพุทธ มีเชื้อชาติไทย และรักชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์ และอาจะแถมด้วยการบอกว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม
พร้อมที่จะตอบแทนคุณแผ่นดิน”
แล้วถ้ามีการคะยั้นคะยออีกก็จะตอบว่า
“มาจากภูเขาอันไต และอาณาจักรน่านเจ้า แล้วสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์”
ดร.ชาญวิทย์ จึงตั้งข้อสังเกตว่า ตกลงคำตอบมีตายตัวอยู่แล้ว
บางคนอาจคิดว่าคำถามและคำตอบแบบนี้เชยไปแล้วก็ได้จึงน่าจะเลิกถามและเลิกตอบ
แต่ว่าทั้งคำถามและคำตอบนี้ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือของ ‘ทองใบ
แตงน้อย’ ที่ได้กล่าวไว้ว่า
คนไทยมีพัฒนาและเริ่มขึ้นจากภูเขาอันไต ในมองโกเลีย เหนือแม่น้ำฮวงโห
และเหนือกำแพงเมืองจีน
ตั้งแต่เมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว
คนไทยได้อพยพลงมาตั้งถิ่นฐานอยู่ระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซี จนถูกคนจีนรุกรานจึงอพยพมาตั้งอาณาจักรน่านเจ้า
อยู่ได้ไม่นานก็ถูกจีนและมองโกเลียรุกราน ก็เลยต้องมาตั้งอาณาจักร สุโขทัย อยุธยา
รัตนโกสินทร์
“อันนี้คือสิ่งซึ่งสร้างขึ้นมาโดย ทองใบ แตงน้อย
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนโปรแกรมสำเร็จรูปที่ฝังลงไปในหัวของเรา” ดร.ชาญวิทย์ กล่าวและอธิบายต่อไปว่า
ต่อมาคนไทยก็สร้างอาณาจักรสุโขทัยจนเป็นอาณาจักรที่กว้างใหญ่กินพื้นที่ไปจนถึงมะละกาและสิงคโปร์
เรื่องนี้เป็นโปรแกรมที่ใส่เข้าไปในหัวของเยาวชนด้วยเพราะ‘แผนที่’ นี้ได้บรรจุลงในแบบเรียน
จากอาณาจักรสุโขทัยก็เรื่อยลงมาจากถึงอาณาจักรอยุธยา
ในสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชประเทศไทยใหญ่ยิ่ง
มาจนถึงสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ที่ยิ่งใหญ่ แต่พอมาในสมัยรัชกาลที่ 5
ก็เสียดินแดน ในหนังสือของทองใบ แตงน้อย บรรจุไว้เลยว่าไทยเสีย 12 จุไทย
ถ้าถามว่า ทองใบ แตงน้อย ไปเอาข้อมูลเหล่านี้มา
จากไหน
คาดว่าคงเอามาจากขุนวิจิตรมาตรา และหลวงวิจิตรวาทการ ทั้งนี้ ขุนวิจิตรมาตรา
เป็นผู้ที่ชนะเลิศในการเขียนเรื่องหลักไทย พ.ศ.2471 ซึ่งเขียนบอกไว้ว่า “คนไทยมาจากเทือกเขาอันไต”
ต่อมา เมื่อมีการคิดต่อไปว่าขุนวิจิตรมาตรานำเรื่องราวเหล่านี้มีจากไหน
คำตอบที่ได้ คือ“ได้มาจากหลวงวิจิตรวาทการ” ซึ่งเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์สากล 5 เล่ม
เป็นทางเดินของความรู้และเรื่องราวของคนไทยมาจากไหน ถ้าไล่ข้อมูลต่อไปอีกจะพบว่าหลวงวิจิตรวาทการนำข้อมูลเหล่านี้มากจากสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่เขียนไว้ในพระนิพนธ์คำนำของพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา
ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้อ่านเพราะข้ามไปอ่านเรื่องในสมัยของสมเด็จพระนเรศวร
อย่างไรก็ตาม ดร.ชาญวิทย์ ระบุว่า ส่วนของคำนำของพระราชพงศาวดารฯ
เป็นส่วนที่สำคัญมาก เขียนไว้ในปี พ.ศ.2457 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวว่า “คนไทยในเมืองจีนนั้นคือเมืองไทยเดิม
กล่าวโดยสรุปเมื่อสมัยอยุธยา หรือสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เราไม่รู้จักเทือกเขาอันไต
ไม่รู้จักอาณาจักรน่านเจ้า จนกระทั่งเมื่อลัทธิอาณานิคมได้แผ่อิทธิพลเข้ามา
ลัทธิอาณานิคมอังกฤษและฝรั่งเศสที่เข้ามาพร้อมความรู้ทางวิชาการแบบใหม่ๆ
ที่ว่าด้วยภาษาศาสตร์ มานุษยวิทยา โบราณคดี ฯลฯ
นักวิชาการเหล่านี้ก็ได้จัดแบ่งกลุ่มคนแล้วได้มีเขียนเรื่องน่านเจ้า เทือกเขาอันไต”
คนไทยในส่วนต่างๆ รวมทั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เป็นคนไทยรุ่นแรกที่มีโอกาสได้เรียนหนังสือกับพวกฝรั่งและได้รับข้อมูลเหล่านี้
จนในที่สุดได้มาปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์พงศาวดารสยามนับตั้งแต่นั้นมา
ความรู้เรื่องคนไทยมาจากภูเขาอันไต น่านเจ้า อยุธยา สุโขทัย และรัตนโกสินทร์ใช้เวลาเดินทางมาร่วมร้อยปี
ความรู้แบบนี้ถูกสร้างขึ้นและฝังลึกอยู่ในสมองของเรา ยากแก่การเอาออกและลบเลือน
นอกจากนี้ ดร.ชาญวิทย์
ยังได้กล่าวถึงข้อแตกต่างระหว่างประวัติศาสตร์ของทองใบ แตงน้อย และ สุจิตต์
วงษ์เทศ ไว้อย่างชัดเจนอีกว่า
ในหนังสือเล่มนี้ มี 11 บท ในบทแรกสุจิตต์
ขึ้น 5,000 ปีแรก มีชุมชนคนดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิ
บรรพบุรุษคนไทยและคนอุษาคเนย์ ซึ่งสุจิตต์ใช้วิธีเหมารวม
แล้วก็นำเอาหลักฐานทางโบราณคดีมา เช่นหลักฐานว่าด้วยบ้านเก่าบ้าง บ้านเชียงบ้าง
บอกว่านี่มีคนอาศัยอยู่ แต่เราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไทยหรือเปล่า
เพราะยังไม่มีภาษาที่สามารถจารึกได้
พอบทที่สอง 4,000 ปี ถอยมาเรื่อยๆ
มนุษย์ในแถบนี้รู้จักถลุงโลหะ ทำเครื่องมือ
เครื่องใช้แทนเครื่องมือหินที่เคยใช้แต่เดิม มีศาสนา คือ นับถือ ผี นับถือดินฟ้า
4,000 ปี เริ่มมีชุมชนถลุงเหล็ก เติบโตเป็นบ้านเมือง บนเส้นทางการคมนาคมทางบกและทางทะเล
มีแผนที่ในการประกอบการอธิบายเหมือนกับ ทองใบ แตงน้อย แล้วก็ขยับมาประมาณหลัง พ.ศ.1 เป็นสุวรรณภูมิมีการเชื่อมโยงระหว่างตะวันออกกับตะวันตก
หมายความว่าจากด้านทะเลจีน กับมหาสมุทรอินเดีย แล้วก็มีแผนที่และชุมชนต่าง ๆ
เมื่อ พ.ศ.500 มีรัฐเล็กๆ
รับพระพุทธศาสนา มีพราหมณ์ มีผี เป็นบรรพบุรุษของคนที่นี่ แล้วก็มีแผนที่อีก
หลัง พ.ศ.1000 รัฐใหญ่ในสุวรรณภูมิ
เริ่มเข้าเรื่องราวของความเป็นไทย เป็นต้นทางของประวัติศาสตร์สยาม ประเทศไทย
ดูไปจนถึงบทที่ 7 หลัง พ.ศ.1500 รัฐพื้นเมือง
เริ่มควบคุมการค้าด้วยตัวเอง มีภาษาซึ่งเป็นภาษาการค้า คือ ชวา มลายูและ ไทย ลาว
ซึ่งเป็นภาษาที่ใหญ่มาก จนทำให้คนอื่นหันมาใช้ภาษานี้กันเยอะมาก
ทำให้มีรัฐใหญ่เกิดขึ้น
หลัง พ.ศ.1700 มีความเปลี่ยนแปลงโดยมีการเกิดขึ้นของศาสนามวลชน
ซึ่งศาสนามวลชนนี้แปลว่าอิสลาม พุทธศาสนาแบบเถรวาท ในขณะที่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นั้นเป็นศาสนาของชนชั้นปกครอง
ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ของศาสนามวลชน
แล้วในขณะเดียวกันก็จะมีอักษรไทยและคนไทย
หลัง พ.ศ.2000 มีกรุงศรีอยุธยา
ศูนย์กลางการค้านานาชาติ เรียกประเทศว่าเมืองไทย เรียกตัวเองว่า คนไทย
แล้วสุจิตต์ก็ไล่มาหลัง พ.ศ.2300 เป็นกรุงธนบุรี
กรุงรัตนโกสินทร์ ราชอาณาจักรสยาม จนกระทั่งหลังพ.ศ.2400 เกิดรัฐประชาชาติประชาธิปไตย ยกเลิกชื่อสยาม ใช้ชื่อประเทศไทย
นี่คือเส้นทางของ ‘สุจิตต์ วงษ์เทศ’เมื่อเทียบกับของ ‘ทองใบ แตงน้อย’
จากนั้น ดร.ชาญวิทย์ วิเคราะห์เพื่อสรุปว่า สุจิตต์ได้ “ทำอะไร และไม่ได้ทำอะไร”
ถ้านำมาเทียบกับประวัติศาสตร์ของทองใบ แตงน้อย
แนวการเขียนของทองใบจะเป็นการเขียนประวัติศาสตร์ด้วยการใช้แผนที่เป็นกรอบ คือ
แผนที่ประเทศไทยปัจจุบันเป็นกรอบ
เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นประวัติศาสตร์ไทยในกรอบแผนที่ประเทศไทย และทัศนคติ
อุดมการณ์ในการเมืองนั้นเป็นประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม และเสนาอำมาตยาธิปไตย
เป็นชาตินิยมในรูปแบบของพระราชากับบรรดาเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย นี่คือ
ประวัติศาสตร์ในแนวของทองใบ แตงน้อย
ส่วนของคุณสุจิตต์ สิ่งที่พยายามทำก็คือ การเขียนประวัติศาสตร์โดยใช้แผนที่
ซึ่งเป็นประชาชาตินิยม เพราะฉะนั้นในแง่นี้สุจิตต์ใช้มากกว่าทองใบ แตงน้อยใช้ คือ
การนำโบราณคดีอันเป็นการใช้หลักฐานบางอย่างที่อยู่ใต้ดินซึ่งมีการขุดค้นอยู่บ่อยๆ
นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 หรือ ประมาณ 40-50 ปีที่ผ่านมา มาใช้ในแผนที่ประวัติศาสตร์ โดยบวกกับหลักฐานด้านมานุษยวิทยา
ซึ่งจุดนี้
สุจิตต์มีฐานข้อมูลที่ทันสมัยทำให้งานมีความหลากหลายที่ทำให้เห็นความหลากหลายทางชาติด้านชาติพันธ์เด่นชัดมาก
และยังนำเอาประวัติศาสตร์มาเป็นกรอบในการวางแผนที่อย่างไรก็ตามแม้จะเห็นได้ชัดเจนว่างานของสุจิตต์
ใช้ทั้งมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ใส่เข้าไปในแผนที่ของเขาที่ทำให้เห็นมากกว่าแผนที่ของทองใบ
แตงน้อย แต่ก็ยังเป็นเวอร์ชั่นที่ไม่เป็นแบบประชาชาตินิยมเสียทีเดียว
เพราะยังมีกลิ่นอายของราชาชาตินิยม และอำมาตยาราชาธิปไตยอยู่
ดังนั้นหนังสือ “แผนที่ประวัติศาสตร์ (สยาม)
ประเทศไทย” เล่มนี้คงเป็นเพียงกรอบหรือโครงที่ยังไม่มีเนื้อหาที่ชัดเจน
ยังต้องการการศึกษาใหม่อย่างละเอียด ปัญหาที่เกิดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ คือ
1.ต้องทำการศึกษาถึงที่มาของคนไทยใหม่
เพราะแทบจะไม่มีใครเชื่อแล้วว่าคนไทยเดินจากเทือกเขาอันไตซึ่งอยู่ในกำแพงเมืองจีน
มาจนถึงประเทศไทยในปัจจุบันได้
2.จะต้องศึกษาแผนที่ซึ่งเป็นวิวัฒนาการสมัยใหม่
ซึ่งเกิดขึ้นมากับลัทธิจักรวรรดินิยม มาจากการค้นพบวิทยาการใหม่ๆ
ของชาวต่างชาติที่ได้เข้ามาในเมืองไทย ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
3.ในการศึกษาแผนที่ประวัติศาสตร์จะต้องใช้ทฤษฎีเป็นตัวส่องนำทาง
งานสองชิ้นที่จะช่วยเป็นทฤษฎีในการส่องทางนั้น ก็คือ
งานที่เกี่ยวกับรัฐชาติและลัทธิชาตินิยม ในหนังสือที่ชื่อว่า Imagined
Community โดย Benedict Anderson และหนังสือ SiamMap ของ อ.ธงชัย วินิจกูล
เพื่อที่จะเข้าใจงานของทองใบ แตงน้อย และงานของสุจิตต์ วงศ์เทศ ในจุดที่ว่าทำไมงานของทองใบ
จึงมีการกล่าวว่าไทยมีการเสียดินแดน 5-6 ครั้ง
แต่งานของสุจิตต์กลับไม่มีตรงนี้
จึงทำให้ควรต้องมีการศึกษากันใหม่อย่างละเอียดอีกครั้ง
สำหรับนักวิชาการอีกท่านหนึ่งที่ได้มาให้มุมมองในเรื่องนี้จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏในประเทศไทย
คือ รศ.สุรพล นาถะพินธุ คณบดีคณะโบราณคดี
มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้กล่าวว่า ‘คน (ไทย)
อาจจะอยู่ที่นี่ เริ่มต้นที่นี่ไม่ได้มาจากเขาอัลไต’ เพราะ
พบส่วนกระโหลกของออสตราโลพิเธคัส ที่เกาะคา จ.ลำปาง อายุนับแสนปี หรือ
พบโฮโมซาเปียนที่ถ้ำลอด จ.แม่ฮ่องสอนอายุ 12,000 ปี และพบอารยธรรมอื่นๆ
กระจายไปทั่วในหลายพื้นที่
ช่วงเวลาที่เกิดหมู่บ้านเกษตรกรรมนั้น
โครงสร้างทางสังคมมีการแยกแยะตามแบบลักษณะของที่มาอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ยังมีการปรากฏขึ้นของวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมหมู่บ้านเกษตรกรรมก็คือ
การติดต่อแลกเปลี่ยนผลผลิตระหว่างกัน
ทำให้พบเครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอยทะเลที่เหมือนๆ กันในหลายพื้นที่
ทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือภาคกลาง “เห็นได้ชัดว่ามีการติดต่อ
ปฏิสัมพันธ์กันทั้งโดยตรง และโดยอ้อม
ทำให้เห็นถึงการแบ่งแยกสถานะทางสังคมอย่างเด่นชัด โดยของที่ได้มาจากที่อื่นจะเป็นของที่หายากเป็นตัวแปรกำหนดให้เกิดความแตกต่าง
เมื่อผู้ใดมีจะทำให้ดูมีฐานะมากกว่าผู้อื่น
ทำให้เกิดสังคมที่เป็นไปในลักษณะซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งหนึ่งที่เป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญทำให้เห็นถึงการติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายกัน
อันเป็นปัจจัยทำให้เกิดพัฒนาการทางสังคม ก็คือ ได้พบว่าในช่วงประมาณ 3,000-3,500 ปีมาแล้ว ในพื้นที่บางแห่งของประเทศไทย
เกิดชุมชนที่มีความสามารถในการทำงานหัตถกรรมบางอย่าง
และผลิตสิ่งของบางอย่างที่บางชุมชนต้องการ เช่น
มีเหมืองทองแดงยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พลูโล้น
และในบริเวณใกล้ๆ เขาวงพระจันทร์
จ.ลพบุรีได้พบแหล่งถลุงทองแดงยุคก่อนประวัติศาสตร์มากกว่าแสนตัน
“พื้นที่ที่เป็นตลาดสำคัญของทองแดงจากบริเวณเขาวงพระจันทร์นั้น
สันนิษฐานว่าจะเป็นบริเวณภาคอีสานของไทย และบริเวณประเทศเพื่อนบ้าน
เพราะพบของใช้ที่ทำจากทองแดงมากมาย
จะเห็นว่าการปฏิสัมพันธ์กันนั้นกินพื้นที่ไกลมาก
นำมาซึ่งพัฒนาการของสังคมที่มีสถานะแตกต่างกันเริ่มชัดเจนมากขึ้น”
รศ.สุรพล กล่าวต่อไปว่า
เมื่อศึกษาจากของใช้ของคนแต่ละภาคของไทยทำให้เห็นถึงวัฒนธรรมบางประการที่แตกต่างกัน
ในช่วงระยะเวลานี้มีกลุ่มชาติพันธุ์อยู่หลายกลุ่มด้วยกัน
อาจจะพูดภาษาที่แตกต่างกัน แต่เมื่อพื้นที่ต่างๆ
มีปฏิสัมพันธ์กันก็ทำให้เกิดพัฒนาการไปพร้อมๆ กัน
จนในช่วง 2,500 ปี มาแล้ว
พัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สำคัญ คือมีการผลิตเหล็กและกระจกมากมาย อีกทั้งเกิดวัฒนธรรมที่มีที่มาจากแดนไกลในประเทศไทย
วัฒนธรรมดังกล่าว เช่น อินเดีย จีนตอนใต้ เวียดนามตอนเหนือและตอนกลาง
ผลที่ตามมาก็คือการเกิดชุมชนขนาดใหญ่ มีการแบ่งพื้นที่ภายในชุมชนอย่างชัดเจน
โดยผู้มีอำนาจสูงสุดในชุมชนเป็นผู้แบ่งการใช้ประโยชน์พื้นที่ในระยะเวลานั้น
กระบวนการในการแลกเปลี่ยนค้าขายมีการพัฒนาไปอีกในระดับหนึ่ง
ในช่วง 1,500-1,600 ปี
มาแล้วประชากรในท้องถิ่นของไทยบางกลุ่มตัดสินใจที่จะรับศาสนาพุทธที่มาจากอินเดียมาเป็นศาสนาประจำชุมชน
ทำให้เปลี่ยนกายภาพของชุมชนมาเป็นชุมชนขนาดใหญ่มาก มีการขุดคูล้อมรอบชุมชนจนกลายเป็นเมือง
ประชากรเหล่านั้นได้กลายมาเป็นประชากรยุคประวัติศาสตร์ของไทย
เมื่อมองจากข้าวของเครื่องใช้ที่เห็นจากยุคประวัติศาสตร์ช่วงแรกๆ
ในมุมมองของนักโบราณคดีเห็นว่าในบริเวณประเทศไทยปัจจุบันมีคนอาศัยอยู่นานแล้วตั้งแต่
ราว 5,000ปี คือมีวัฒนธรรมที่เป็นต้นแบบของวัฒนธรรมปัจจุบันเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว
และกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นราว 5,000 ปีมาแล้วนั้น
มีการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนในพื้นที่ออกไป
แล้วมีการย้ายข้าวของกลุ่มคนจากต่างพื้นที่เข้ามา
กระบวนการเคลื่อนย้ายแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีการผสมผสานของวัฒนธรรมเกิดขึ้น
เขียนโดย นิธิณัช สังสิทธิ
เนื่องจากประวัติศาสตร์ไทยสมัยโบราณในปัจจุบันยังมีแนวคิดที่แตก
ต่างกัน บางคนยังยึดถือกับตำราเก่า บางคนถือแนวคิดใหม่ที่เสนอขึ้นมา
และตำราเรียนของนักเรียนประถม-มัธยม ก็ยังไม่ค่อยปรากฏแนวคิดใหม่เท่าไรนัก
ผมจึงจะขอนำเสนอประวัติศาสตร์ไทยแนวคิดใหม่
ที่คิดว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าแนวคิดเดิม แต่ก็ไม่ได้ทิ้งแนวคิดเดิม
(คือนำแนวคิดเดิมและแนวคิดใหม่มาผสมกัน โดยพิจารณาจากความน่าเชื่อถือขึ้นนั่นเอง)
ก่อนอื่นต้องขอแยกเรื่องของชนชาติไท
กับอาณาจักรโบราณในดินแดนไทยให้ขาดออกจากกันก่อนนะครับ
ในปัจจุบันมักจะนำสองเรื่องนี้มาปนกันจนงงไปหมด
ชนชาติไท
ปัจจุบันเชื่อว่าต้นกำเนิดอยู่ในบริเวณรอยต่อระหว่างเวียดนามกับจีน
จากการค้นคว้าของ ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร กล่าวว่าบริเวณนั้นมีภาษาไทหลายถิ่นที่แตกต่างกันมากรวมอยู่ในบริเวณเดียว
กัน ชนชาติไทแบ่งเป็นห้ากลุ่มใหญ่ ๆ คือไทตะวันตก (ในพม่าและรอยต่ออินเดีย)
ไทใต้ (ไทยปัจจุบัน) ไทลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง (ลาวปัจจุบัน
ไทยเหนือ และไทยอีสาน) ไทที่ราบสูงตอนกลาง (จีนตอนใต้และรอยต่อลาว)
และไทตะวันออกเฉียงเหนือ (ต้นกำเนิดชนชาติไท)
ชนชาติไทจะมีอยู่ในสุวรรณภูมิในยุคทวารวดีหรือไม่
ยังไม่ปรากฏชัด แต่คาดว่าน่าจะมีอยู่บ้าง แม้จะเป็นจำนวนน้อยก็ตาม มา
ดูเรื่องของอาณาจักรโบราณในดินแดนไทย อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๕ - ๑๔)
เดิมเราเชื่อว่าเป็นพวกมอญ แต่ปัจจุบันมีนักวิชาการหลายคนคัดค้าน
การที่เราพบศิลาจารึกภาษามอญในดินแดนทวารวดี
ไม่ได้หมายความว่าชาวทวารวดีเป็นมอญทั้งหมด
สังเกตว่าเราไม่เคยพบศิลาจารึกภาษามอญในแหล่งวัฒนธรรมทวารวดีภาคอีสานเลย
คาดว่าพวกนี้น่าจะเป็นชนชาติไท ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีอักษรใช้
หรือไม่ก็เป็นชนชาติลัวะ หรือละว้า ซึ่งเคยเจริญอยู่ในดินแดนนี้เหมือนกัน
ที นี้ผมคงต้องบอกว่า
ทวารวดีไม่น่าจะเป็นชนชาติมอญเพียงอย่างเดียว น่าจะมีลัวะกับไทผสมด้วย
อาจจะมีเขมรปนมาอีก ทวารวดีจึงเป็นเชื้อชาติผสม ตรงนี้จึงเกิดปัญหาขึ้นว่า
ใครเป็นชนชั้นปกครองของทวารวดี ทำให้นักวิชาการพากันค้นหาคำตอบกัน
ในที่สุด ณ ขณะนี้ นักวิชาการกลุ่มหนึ่งเสนอว่า
ทวารวดีไม่ได้มีฐานะเป็นอาณาจักร แต่เป็นลักษณะของเมืองก่อนรัฐ
คือแต่ละเมืองปกครองกันเอง หรือลักษณะเดียวกับนครรัฐ ในกรีกโบราณนั่นเอง
(แต่ละเมืองเป็นอิสระจากกัน) นานวันเข้า ทวารวดีที่เคยเป็นนครรัฐก็รวมตัวกันเป็นแคว้น
มีหัวหน้าปกครอง รวมเมืองหลาย ๆ เมืองเข้าเป็นหนึ่งแคว้น
แคว้นโบราณซึ่งพัฒนามาจากทวารวดีปรากฏชื่อดังนี้
แคว้นตามพรลิงค์ หรือนครศรีธรรมราช (พุทธศตวรรษที่
๗ - ๑๙) อยู่ทางใต้สุด เป็นแคว้นที่เก่าแก่ที่สุด
ในช่วงแรกเป็นวัฒนธรรมแบบทวารวดีผสมศรีวิชัย
น่าจะเป็นดินแดนแห่งแรกในอิทธิพลทวารวดีที่มีกษัตริย์ปกครอง พร้อม ๆ
กับแคว้นศรีโคตรบูรณ์ในอีสาน ในช่วงหลังได้พัฒนาวัฒนธรรมของตนเอง
จนถูกอาณาจักรอโยธยาตีได้ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ก่อนจะตกเป็นของสุโขทัย
และอยุธยาอีกครั้ง
แคว้นสุพรรณภูมิ หรือสุพรรณบุรี (พุทธศตวรรษที่
๑๔ - ๑๖) ตั้งอยู่ทางแถบตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีเมืองสำคัญคือเมืองนครชัยศรี
(นครปฐม) อู่ทอง พันธุมบุรี (สุพรรณบุรี) ราชบุรี เพชรบุรี
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเมืองมาแต่สมัยทวารวดี และบางเมืองยังเป็นเมืองมาถึงปัจจุบัน
พัฒนาต่อมาจากทวารวดี ควบคู่กับแคว้นละโว้ทางตะวันออก
แคว้นละโว้ หรือลพบุรี (พุทธศตวรรษที่
๑๔ - พ.ศ. ๑๖๒๕) ตั้งอยู่ทางแถบตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
พัฒนาควบคู่มากับแคว้นสุพรรณภูมิ อาณาเขตทางทิศเหนือขึ้นไปถึงแถบลำพูน สุโขทัย
(ภายหลังแยกออกเป็นหริภุญชัยและสุโขทัย) เป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในระยะเวลาหนึ่งเคยตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรเขมรเมืองพระนคร
ต่อมา ได้ตีสุพรรณภูมิ และย้ายเมืองหลวงไปอยู่อโยธยา เป็นอาณาจักรอโยธยา
ที่เจริญควบคู่มากับสุโขทัย
แคว้นศรีโคตรบูรณ์ (พุทธศตวรรษที่
๑๑ - ๑๕) ตั้งอยู่บริเวณภาคอีสานของไทย แถบริมแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดหนองคายมาจนถึงอุบลราชธานี
มีพัฒนาการมาจากทวารวดีเช่นกัน มีเมืองหลวงที่มรุกขนคร (เมืองท่าแขกปัจจุบัน ตรงข้ามนครพนม) ภายหลังถูกล้านช้างตีได้
แคว้นหริภุญชัย หรือลำพูน (พ.ศ.
๑๒๐๖ - ๑๘๓๖) ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดลำพูนและลำปางในปัจจุบัน
เป็นแคว้นโบราณที่พัฒนาต่อจากทวารวดีเพียงแคว้นเดียวที่ปรากฏรายพระนามพระ
มหากษัตริย์ครบทุกพระองค์ ทำให้สามารถกำหนดปี พ.ศ. ของแคว้นได้อย่างชัดเจน
หริภุญชัยเดิมเป็นส่วนหนึ่งของละโว้ ตอนหลังแยกออกมาเป็นแคว้นเอกราช
มีกษัตริย์ปกครององค์แรกคือพระนามจามเทวี ซึ่งเป็นราชธิดากษัตริย์ละโว้
องค์สุดท้ายคือพระยายีบา ก่อนจะถูกพระยามังรายจากเชียงแสนตีแตก
แคว้น สุโขทัย (พุทธศตวรรษที่
๑๘ - พ.ศ. ๑๗๙๒) เป็นแคว้นที่รู้จักกันดีแล้ว
แต่นี่ไม่ใช่สุโขทัยที่เรารูจักกันในฐานะอาณาจักร
แคว้นสุโขทัยในที่นี้หมายถึงสุโขทัยยุคก่อนพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
ปรากฏพระนามพระมหากษัตริย์เพียง ๒ องค์ คือพ่อขุนศรีนาวนำถุม และพ่อขุนผาเมือง
ก่อนหน้านั้นไม่ปรากฏหลักฐานด้านพระนามพระมหากษัตริย์
สุโขทัยเป็นแคว้นที่แยกตัวออกมาจากละโว้
ชนชาติไทกลุ่มที่เข้ามาอย่างชัดเจนพวกแรกคือแคว้นโยนกไชยบุรีศรีช้างแส่น
เก่าแก่ถึงสมัยทวารวดี
แคว้นโยนกไชยบุรีศรีช้างแส่น (พ.ศ.
๖๓๘ - พ.ศ. ๑๐๘๘) เป็นแคว้นแรกของชนชาติที่ปรากฏว่าเป็นชนชาติไทอย่างชัดเจน
ตั้งอยู่ในบริเวณจังหวัดเชียงรายปัจจุบัน และบริเวณรอบ ๆ
มีเมืองหลวงที่นครโยนกนาคพันธุมหาสิงหนวัตินคร (บริเวณทะเลสาบเชียงแสนปัจจุบัน)
มีกษัตริย์ปกครอง ๔๕ พระองค์ จึงถึงกาลล่มสลายกลายเป็นทะเลสาบ
ย้ายเมืองหลวงไปที่เวียงปรึกษา ตั้งเป็นแคว้นเงินยางเชียงแสนต่อไป
ในช่วงนี้
ได้เริ่มมีชนชาติไทเข้ามาอย่างชัดเจนกว่าสมัยทวารวดีอย่างมาก
โดยตั้งเป็นแคว้นของชนชาติไทขึ้น ๕ แคว้น ทางตอนเหนือของไทย
กินอาณาเขตเข้าไปในพม่า ลาว และจีน คือแคว้นเงินยางเชียงแสน แคว้นเขมรัฐเชียงตุง
แคว้นหอคำเชียงรุ่ง และแคว้นร่มขาวเชียงทอง (เชียงแสน เชียงตุง เชียงรุ่ง เชียงทอง
ผมชอบเรียกว่าสมัย ๔ เชียง) และแคว้นสิบสองจุไทย รวมทั้งแคว้นพะเยาและน่าน
มีรายละเอียดดังนี้
แคว้น เงินยางเชียงแสน (พ.ศ.
๑๐๘๘ - ๑๘๐๕) เป็นแคว้นที่เจริญมาพร้อมกับหริภุญชัย เป็นของชาวไทยวน พัฒนาต่อเนื่องมาจากแคว้นโยนกไชยบุรีศรีช้างแส่น
กษัตริย์ปกครองในยุคแรกอยู่ในราชวงศ์สิงหนวัติ
อยู่ที่เมืองโยนกนาคพันธุมหาสิงหนวัตินคร (เวียงหนองล่ม ทะเลสาบเชียงแสนปัจจุบัน)
ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนเมืองจมกลายเป็นทะเลสาบ สิ้นราชวงศ์สิงหนวัติ
ย้ายเมืองหลวงไปเวียงปรึกษา ใน พ.ศ. ๑๐๘๘ มีกษัตริย์ปกครองราชวงศ์โกชกเวียงปรึกษา
๑๕ พระองค์ จนถึง พ.ศ. ๑๑๘๑ พระยากาฬวรรณดิศราช กษัตริย์ทวารวดี
(น่าจะหมายถึงละโว้) จะขึ้นมาสนับสนุนพระยาลวจังกราชให้เป็นกษัตริย์แทนราชวงศ์โกชกเวียงปรึกษา
เปลี่ยนชื่อเวียงปรึกษาเป็นหิรัญนคร (แปลว่าเมืองเงิน หรือเชียงเงิน
น่าจะเพื่อให้คู่กับเชียงทอง หลวงพระบาง) มีกษัตริย์ราชวงศ์ลวจังกราชปกครองมา ๘
พระองค์ จนถึงพระยาลาวเคียง (องค์ที่ ๙)
ได้สร้างเมืองใหม่ห่างจากเดิม ๒-๓ กิโลเมตร ที่อำเภอเชียงแสนปัจจุบัน
ชื่อเมืองเงินยางเชียงแสน มีกษัตริย์ปกครองมา ๑๖ พระองค์
รวมกษัตริย์ราชวงศ์ลวจังกราช ๒๔ พระองค์ ต่อมาเมื่อถึงองค์ที่ ๒๕
พระยามังรายมหาราช ได้ย้ายเมืองหลวงไปสร้างเมืองเชียงราย เวียงกุมกาม
และสุดท้ายได้สร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรล้านนา
แคว้น เขมรัฐเชียงตุง (พุทธศตวรรษที่
๑๒ - พ.ศ. ๑๗๘๖) เป็นแคว้นที่เจริญมาพร้อมกับเชียงแสน เป็นของชาวไทเขิน และไทใหญ่
ตั้งอยู่ในรัฐฉาน ประเทศพม่าปัจจุบัน ต่อมาพระยามังรายตีเชียงตุงได้
และรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา
แคว้นหอคำเชียงรุ่ง (พุทธศตวรรษที่
๑๘ - พ.ศ. ๑๘๓๕) ตั้งอยู่ในบริเวณสิบสองปันนา ประเทศจีนปัจจุบัน เป็นของชาวไทลื้อ มีกษัตริย์พระองค์แรกคือพระยาเจือง ต่อมาโดนพระยามังรายตีได้
และสุดท้ายโดนมองโกลตีและตกเป็นของจีน
แคว้น ร่มขาวเชียงทอง (พ.ศ.
๑๓๐๐ - พ.ศ. ๒๑๐๓) อยู่ในประเทศลาวปัจจุบัน มีเมืองหลวงที่หลวงพระบาง
เป็นของชาวไทลาว มีกษัตริย์พระองค์แรกคือขุนลอ จนถึงองค์ที่ ๔๕
คือพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้ทรงย้ายเมืองหลวงไปอยู่เวียงจันทน์
สถาปนาเป็นอาณาจักรล้านช้างในที่สุด
แคว้น สิบสองจุไท (พุทธศตวรรษที่
๑๒ - พ.ศ. ๒๔๒๗) อยู่บริเวณชายแดนลาวตะวันออกเฉียงเหนือกับเวียดนามตอนเหนือ
มีเมืองหลวงที่เมืองแถง เป็นแคว้นเก่าแก่ของชนชาติไท เป็นของชาวไทดำ หรือไททรงดำ
เป็นแคว้นที่ยืนหยัดมาได้ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ชนชาติไท มีกษัตริย์ปกครอง ๓๒
พระองค์ (แต่ละพระองค์อยู่นานมาก ๆ) องค์แรกคือท้าวลอ องค์สุดท้ายคือท้าวคำฮัก โดนฝรั่งเศสตีไปจากสยามในสมัยรัชกาลที่
๕
แคว้นภูกามยาว หรือพะเยา (พ.ศ.
๑๖๐๒ - ๑๘๑๖) เป็นแคว้นเครือญาติกับเชียงแสน
กษัตริย์ปกครองเป็นราชวงศ์ลวจังกราชเช่นเดียวกัน มีกษัตริย์ ๙ พระองค์
กษัตริย์พระองค์แรกคือขุนจอมธรรม ต่อมาได้ถูกรวมเข้ากับอาณาจักรล้านนาในสมัยขุนคำลือ
แคว้นนันทบุรีนคร หรือน่าน (พุทธศตวรรษที่
๑๘ - พ.ศ. ๑๙๙๓) เป็นแคว้นเครือญาติกับสุโขทัย แต่เป็นกลุ่มชนชาติไทชัดเจน
(สุโขทัยก็เป็นไทชัดเจน อาจเพราะเหตุนี้จึงทำให้แยกจากละโว้ซึ่งเป็นไทปนลัวะ)
มีกษัตริย์ปกครองกี่พระองค์ไม่ปรากฏแน่ชัด กษัตริย์เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบพระนามคือพระยาภูคา
องค์สุดท้ายคือพระยาอินต๊ะแก่นท้าว ก่อนถูกพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนาตีแตก
สมัย ต่อมา แคว้นพวกนี้ได้รวมตัวกันอีก
เกิดเป็น ๔ อาณาจักรใหญ่ (ไม่นับสิบสองจุไท) คือล้านนา ล้านช้าง
สุโขทัย และอโยธยา ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงมากนัก เนื่องจากน่าจะรู้จักกันบ้างอยู่แล้ว
(พ.ศ.
๑๘๐๕ - ๒๔๓๙) นับตั้งแต่พระยามังรายมหาราชได้ขึ้นครองราชย์
สร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่เป็นราชธานี
อาณาจักรล้านนาได้ยืนหยัดมาถึงรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ได้ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม ประวัติศาสตร์ล้านนาแบ่งได้เป็น ๓
ยุค คือยุครุ่งเรือง ยุคพม่าปกครอง และยุครัตนโกสินทร์ มีราชวงศ์ปกครอง ๔ ราชวงศ์
คือราชวงศ์มังราย (ที่จริงก็คือลวจังกราช) ล้านช้าง
และพม่า ทั้งหมด ๓๘ พระองค์ ส่วนยุครัตนโกสินทร์
ล้านนาแบ่งเป็นนครเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง มีกษัตริย์ปกครองต่อมาอีกทั้ง ๓ เมือง
จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ลดฐานะลงเป็นเจ้าเมือง
และได้รวมเข้ากับราชอาณาจักรสยามในที่สุด
อาณาจักร ล้านช้าง (พ.ศ.
๒๑๐๓ - ๒๕๑๘) ตั้งแต่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๑
ได้ย้ายเมืองหลวงจากเชียงทองหลวงพระบางมาอยู่ที่เวียงจันทน์ ตั้งชื่อว่าพระนครจันทบุรีศรีสัตนาคนหุตอุตมราชธานี
เป็นอาณาจักรเดียวในสมัย ๔ อาณาจักร ที่ยังคงเป็นประเทศอยู่ในปัจจุบัน (ล้านนาโดนพม่าตี ตอนหลังรวมกับสยาม อโยธยาเปลี่ยนเป็นอยุธยา
ซึ่งก็โดนพม่าตีอีก และสุโขทัยก็โดนอยุธยาตี) ปัจจุบันคือประเทศลาว
มีกษัตริย์ทั้งหมด ๑๖ องค์ จากราชวงศ์ล้านช้าง จากนั้นได้แตกออกเป็น ๓ อาณาจักร
มีกษัตริย์ปกครองต่อมาอีก กษัตริย์พระองค์สุดท้ายคือพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา
แห่งนครหลวงพระบาง
อาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ.
๑๗๙๒ - ๑๙๘๑) มีกษัตริย์ปกครอง ๙ พระองค์ จากราชวงศ์พระร่วง จะไม่กล่าวถึงมากนัก
เนื่องจากรู้จักกันดีอยู่แล้ว
อาณาจักรอโยธยา (พ.ศ.
๑๖๒๕ - ๑๙๘๓) เป็นอาณาจักรแนวคิดใหม่ ซึ่งนับวันจะมีผู้เชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตั้งอยู่บริเวณกรุงศรีอยุธยา นอกเกาะเมืองด้านตะวันออก พัฒนามาจากละโว้ลพบุรี
โดยผลัดกันเป็นเมืองหลวงและเมืองลูกหลวง ช่วงนี้อโยธยาเป็นเมืองหลวง มีกษัตริย์ปกครอง
๑๐ พระองค์ จากราชวงศ์ลพบุรี องค์แรกคือพระนารายณ์ องค์สุดท้ายคือพระวรเชษฐ์
ซึ่งเชื่อว่าคือพระเจ้าอู่ทอง ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยานั่นเอง
ประวัติศาสตร์ยุคต่อจากนี้ ผมถือว่าเป็นแนวคิดเดิมทั้งหมด
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงไม่ได้นำมาเสนอในที่นี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น